ความสามารถของบุคคลเป็นหัวใจของการทำธุรกรรม
![]() |
ความสามารถของบุคคลตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ |
ทำไมการตรวจสอบสถานะคู่สัญญาจึงเป็นหัวใจของการทำธุรกรรมที่ปลอดภัย
ในทุกการทำธุรกรรม การลงนามในสัญญาถือเป็นจุดเริ่มต้นของภาระผูกพันทางกฎหมาย แต่ความผิดพลาดที่พบบ่อยที่สุดและสร้างความเสียหายรุนแรงที่สุด คือการละเลยขั้นตอนพื้นฐานอย่างการตรวจสอบสถานะและความสามารถของคู่สัญญา การตรวจสอบนี้ไม่ใช่เพียงขั้นตอนทางเอกสาร แต่เป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยงเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญอย่างยิ่ง การละเลยขั้นตอนนี้อาจนำไปสู่ความเสียหายทางการเงิน ข้อพิพาทที่ไม่จำเป็น และที่ร้ายแรงที่สุดคือ อาจทำให้สัญญาที่ทำขึ้นนั้นไม่สามารถบังคับใช้ได้ตามกฎหมาย ซึ่งถือเป็นความเสี่ยงที่ธุรกิจไม่ควรมองข้ามแนวปฏิบัติที่ชัดเจนในการตรวจสอบคู่สัญญา เพื่อสร้างความมั่นใจและลดความเสี่ยง โดยขั้นตอนแรกที่สำคัญที่สุด คือการทำความเข้าใจประเภทของ "บุคคล" ตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งมีแนวทางการตรวจสอบที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ประเภทของคู่สัญญา: บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล
เราจำเป็นต้องจำแนกประเภทของคู่สัญญาให้ถูกต้องเสียก่อน เนื่องจากวิธีการ เอกสาร และแหล่งข้อมูลที่ใช้ในการตรวจสอบ "บุคคลธรรมดา" และ "นิติบุคคล" นั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
บุคคลธรรมดา (Natural Person) คือบุคคลทั่วไปที่มีชีวิตจิตใจ เช่น ตัวเรา ลูกค้า คู่ค้า หรือผู้ให้บริการที่เป็นปัจเจกบุคคล ซึ่งกฎหมายให้ความคุ้มครองและกำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับความสามารถในการทำนิติกรรมไว้
นิติบุคคล (Juristic Person) คือบุคคลที่กฎหมายสมมติขึ้นเพื่อให้สามารถดำเนินกิจกรรมต่างๆ ได้เสมือนบุคคลธรรมดา โดยต้องจัดตั้งและจดทะเบียนตามที่กฎหมายกำหนด เช่น บริษัทจำกัด, มูลนิธิ, หรือบริษัทมหาชนจำกัด
การตรวจสอบ "นิติบุคคล"
ในการทำธุรกรรมระหว่างองค์กรกับองค์กร (B2B) การตรวจสอบสถานะของนิติบุคคลเป็นขั้นตอนที่ขาดไม่ได้ เพื่อยืนยันว่าคู่สัญญาของเรามีตัวตนอยู่จริงตามกฎหมาย และบุคคลที่มาลงนามในสัญญานั้นมีอำนาจกระทำการแทนบริษัทได้อย่างถูกต้อง ซึ่งจะช่วยป้องกันปัญหาการแอบอ้างหรือการทำธุรกรรมที่เกินขอบเขตอำนาจรายการตรวจสอบสถานะนิติบุคคล (Checklist)
- การมีตัวตนของนิติบุคคล: สิ่งแรกที่ต้องยืนยันคือ บริษัทคู่สัญญาได้จดทะเบียนจัดตั้งอย่างถูกต้องและยังมีสถานะดำเนินกิจการอยู่จริง ไม่ได้ถูกขีดชื่อออกจากทะเบียนหรืออยู่ในสถานะร้าง
- ผู้มีอำนาจลงนาม: ต้องตรวจสอบให้แน่ชัดว่าใครคือ "กรรมการผู้มีอำนาจลงนามผูกพันบริษัท" และมีเงื่อนไขการลงนามอย่างไร เช่น กรรมการคนใดคนหนึ่งลงนามได้เลย หรือต้องมีกรรมการสองคนลงนามร่วมกันพร้อมประทับตราสำคัญของบริษัท
- วัตถุประสงค์ของบริษัท: ต้องตรวจสอบให้แน่ชัดว่านิติกรรมหรือสัญญาที่กำลังจะทำนั้น อยู่ในขอบเขตวัตถุประสงค์ที่บริษัทได้จดทะเบียนไว้หรือไม่ เพื่อให้แน่ใจว่าการกระทำนั้นไม่ใช่นิติกรรมนอกขอบวัตถุประสงค์
- ข้อมูลสำคัญอื่นๆ: สามารถตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติม เช่น รายชื่อผู้ถือหุ้น เพื่อทราบโครงสร้างความเป็นเจ้าของ และข้อมูลงบการเงิน เพื่อประเมินสถานะหนี้สินและความมั่นคงทางการเงินเบื้องต้น
แหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ
ข้อมูลสาธารณะที่จำเป็นทั้งหมดของนิติบุคคลสามารถตรวจสอบได้จาก กรมพัฒนาธุรกิจการค้า (Department of Business Development) กระทรวงพาณิชย์ ซึ่งในปัจจุบันมีความสะดวกอย่างยิ่ง โดยสามารถเข้าถึงได้ผ่านช่องทางออนไลน์ทั้งเว็บไซต์และแอปพลิเคชันบนมือถือ และยังสามารถยื่นคำขอคัดถ่ายเอกสารรับรองเพื่อใช้เป็นหลักฐานอ้างอิงได้ความเสี่ยงหากละเลยการตรวจสอบ
หากทำสัญญาไปโดยไม่ได้ตรวจสอบสถานะของนิติบุคคล อาจเกิดความเสี่ยงร้ายแรงตามมาได้ เช่น ทำสัญญากับบริษัทที่ไม่มีตัวตนจริง หรือผู้ลงนามไม่มีอำนาจกระทำการแทนบริษัท ซึ่งผลลัพธ์สุดท้ายคือ สัญญาดังกล่าวอาจไม่ผูกพันบริษัท และทำให้เราเสียเปรียบหรือไม่สามารถเรียกร้องสิทธิตามกฎหมายได้เมื่อเกิดปัญหาขึ้นในขณะที่การตรวจสอบนิติบุคคลมีแหล่งข้อมูลที่ชัดเจน การตรวจสอบบุคคลธรรมดากลับมีความท้าทายที่แตกต่างออกไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นเรื่อง "ความสามารถ" ที่ถูกจำกัดตามเงื่อนไขของกฎหมาย
การตรวจสอบ "บุคคลธรรมดา" และเงื่อนไขความสามารถที่จำกัด
โดยทั่วไปแล้ว บุคคลธรรมดาที่บรรลุนิติภาวะจะมีความสามารถในการทำนิติกรรมสัญญาได้อย่างสมบูรณ์ด้วยตนเอง อย่างไรก็ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้กำหนดข้อยกเว้นสำหรับบุคคลบางกลุ่มไว้เพื่อคุ้มครองประโยชน์ของพวกเขา กฎหมายมุ่งคุ้มครองผู้ที่หย่อนความสามารถ แต่ในทางกลับกัน ความคุ้มครองนี้ได้สร้างภาระให้คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งต้องเป็นผู้ตรวจสอบและแบกรับความเสี่ยงหากนิติกรรมนั้นถูกบอกล้างในภายหลัง ดังนั้น การทำความเข้าใจและตรวจสอบเงื่อนไขเหล่านี้จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งผู้เยาว์ (Minor)
ผู้เยาว์คือบุคคลที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ซึ่งกฎหมายกำหนดหลักเกณฑ์การพ้นจากภาวะผู้เยาว์ไว้ 2 กรณี คือ- มีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ (ตามมาตรา ๑๙)
- ทำการสมรสโดยชอบด้วยกฎหมาย แม้จะยังอายุไม่ครบ 20 ปีบริบูรณ์ก็ตาม (ตามมาตรา ๒๐)
ผลทางกฎหมาย: การใดๆ ที่ผู้เยาว์ทำลงโดยไม่ได้รับความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรม (เช่น บิดามารดา) การนั้นจะตกเป็น "โมฆียะ" (ตามมาตรา ๒๑)
ข้อยกเว้น: ผู้เยาว์สามารถทำนิติกรรมบางประเภทได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องขอความยินยอม ดังนี้- การกระทำที่เป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิ หรือเพื่อให้หลุดพ้นจากหน้าที่ (มาตรา ๒๒)
- การกระทำที่ต้องทำเองเฉพาะตัว (มาตรา ๒๓)
- การกระทำที่สมแก่ฐานานุรูป และจำเป็นเพื่อการดำรงชีพตามสมควร (มาตรา ๒๔)
คนไร้ความสามารถ (Incompetent Person)
คือบุคคลวิกลจริตที่ศาลมีคำสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ ตามคำร้องขอของบุคคลที่มีส่วนได้เสียตามกฎหมาย (เช่น คู่สมรส, บุพการี, ผู้สืบสันดาน) โดยต้องจัดให้อยู่ในความดูแลของ "ผู้อนุบาล" (ตามมาตรา ๒๘)ผลทางกฎหมาย: การใดๆ ที่บุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลง การนั้นเป็น "โมฆียะ" ทั้งสิ้น โดยไม่มีข้อยกเว้น (ตามมาตรา ๒๙)
วิธีการตรวจสอบสถานะ: คำสั่งศาลที่สั่งให้บุคคลใดเป็นคนไร้ความสามารถ หรือคำสั่งเพิกถอนสถานะดังกล่าว จะต้อง ประกาศในราชกิจจานุเบกษา (ตามมาตรา ๒๘ และมาตรา ๓๑)4.3 คนเสมือนไร้ความสามารถ (Quasi-Incompetent Person)
คือบุคคลที่มีกายพิการ จิตฟั่นเฟือน ประพฤติสุรุ่ยสุร่าย หรือมีเหตุอื่นทำนองเดียวกัน จนไม่สามารถจัดการงานของตนเองได้ และศาลได้มีคำสั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ โดยต้องจัดให้อยู่ในความดูแลของ "ผู้พิทักษ์" (ตามมาตรา ๓๒)
ผลทางกฎหมาย: คนเสมือนไร้ความสามารถ ต้องได้รับความยินยอมของผู้พิทักษ์ก่อน จึงจะทำนิติกรรมที่กฎหมายกำหนดไว้ได้ หากฝ่าฝืน การนั้นจะตกเป็น "โมฆียะ"
วิธีการตรวจสอบสถานะ: เช่นเดียวกับคนไร้ความสามารถ คำสั่งศาลที่สั่งให้บุคคลใดเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ จะต้อง ประกาศในราชกิจจานุเบกษา (ตามมาตรา ๓๒)
ข้อควรระวังพิเศษ: บุคคลวิกลจริตที่ศาลยังมิได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ
กรณีนี้มีความซับซ้อนและพิสูจน์ได้ยาก โดยนิติกรรมของบุคคลวิกลจริตที่ศาลยังไม่เคยมีคำสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ จะเป็นโมฆียะได้ก็ต่อเมื่อเข้าเงื่อนไข ครบทั้ง 2 ข้อ ดังนี้ (ตามมาตรา ๓๐)- นิติกรรมนั้นได้กระทำลงในขณะที่บุคคลนั้นมีจริตวิกลอยู่ และ
- คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้แล้วว่าผู้กระทำเป็นคนวิกลจริต
เงื่อนไขดังกล่าวพิสูจน์ได้ยากในทางปฏิบัติ เพราะเป็นการพิสูจน์สภาวะทางจิตของผู้กระทำ ณ เวลาที่ทำนิติกรรม และยังต้องพิสูจน์ว่าคู่สัญญาอีกฝ่าย 'รู้' ถึงสภาวะดังกล่าวด้วย ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงภายในที่หาพยานหลักฐานได้ยาก
เมื่อได้ทราบถึงกรณีต่างๆ ที่อาจทำให้นิติกรรมกลายเป็น "โมฆียะ" แล้ว สิ่งสำคัญถัดไปคือการทำความเข้าใจว่าสถานะ "โมฆียะ" นั้นส่งผลกระทบต่อสัญญาอย่างไร
สรุปผลทางกฎหมาย: ความหมายและผลกระทบของ "นิติกรรมโมฆียะ"
การทำสัญญาที่อาจมีผลเป็น "โมฆียะ" ถือเป็นความเสี่ยงทางธุรกิจอย่างยิ่ง เพราะมันสร้างความไม่แน่นอนให้กับสถานะของสัญญา การทำความเข้าใจผลทางกฎหมายของนิติกรรมโมฆียะจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อประเมินความเสี่ยงและหาแนวทางจัดการที่ถูกต้อง
"โมฆียะกรรม" คือ นิติกรรมที่บกพร่องหรือไม่สมบูรณ์ แต่ยังไม่ถือเป็นโมฆะหรือสิ้นผลไปในทันที นิติกรรมนั้นยังคงมีผลอยู่จนกว่าจะถูกบอกล้าง หรือได้รับการรับรองให้สมบูรณ์
ผู้แทนโดยชอบธรรม, ผู้อนุบาล, หรือผู้พิทักษ์ มีทางเลือก 2 ทางในการจัดการกับนิติกรรมที่เป็นโมฆียะ ดังนี้- การบอกล้าง (Avoidance) คือการแสดงเจตนาปฏิเสธ ไม่ยอมรับนิติกรรมนั้น ซึ่งจะส่งผลให้ นิติกรรมนั้นตกเป็นโมฆะมาตั้งแต่ต้น เสมือนว่าไม่เคยเกิดขึ้นเลย ผลกระทบ: คู่สัญญาต้องคืนทรัพย์สินให้อยู่ในสภาพเดิม ซึ่งอาจเป็นไปได้ยากและก่อให้เกิดความเสียหายทางการเงิน หากมีการใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินนั้นไปแล้ว
- การให้สัตยาบัน (Ratification) คือการแสดงเจตนารับรอง ยืนยันนิติกรรมที่ไม่สมบูรณ์นั้น ซึ่งจะส่งผลให้ นิติกรรมนั้นมีผลสมบูรณ์และผูกพันตามกฎหมาย ตั้งแต่เริ่มทำนิติกรรม
จะเห็นได้ว่าสถานะที่ไม่แน่นอนของนิติกรรมโมฆียะคือความเสี่ยงหลักที่องค์กรต้องเผชิญ การตรวจสอบสถานะคู่สัญญาอย่างรัดกุมตั้งแต่แรกจึงเป็นเกราะป้องกันที่ดีที่สุดที่จะช่วยหลีกเลี่ยงความเสี่ยงนี้ได้
- การบอกล้าง (Avoidance) คือการแสดงเจตนาปฏิเสธ ไม่ยอมรับนิติกรรมนั้น ซึ่งจะส่งผลให้ นิติกรรมนั้นตกเป็นโมฆะมาตั้งแต่ต้น เสมือนว่าไม่เคยเกิดขึ้นเลย ผลกระทบ: คู่สัญญาต้องคืนทรัพย์สินให้อยู่ในสภาพเดิม ซึ่งอาจเป็นไปได้ยากและก่อให้เกิดความเสียหายทางการเงิน หากมีการใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินนั้นไปแล้ว
- การให้สัตยาบัน (Ratification) คือการแสดงเจตนารับรอง ยืนยันนิติกรรมที่ไม่สมบูรณ์นั้น ซึ่งจะส่งผลให้ นิติกรรมนั้นมีผลสมบูรณ์และผูกพันตามกฎหมาย ตั้งแต่เริ่มทำนิติกรรม
แนวปฏิบัติสู่ความมั่นใจในการทำสัญญา
การตรวจสอบสถานะและความสามารถของคู่สัญญาไม่ใช่ภาระทางเอกสาร แต่เป็นกระบวนการเชิงรุกเพื่อป้องกันความเสี่ยงและสร้างความเชื่อมั่นในการทำธุรกรรม การสละเวลาตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นอย่างรอบคอบจะช่วยลดโอกาสเกิดข้อพิพาทและความเสียหายทางการเงินในอนาคตได้อย่างมีนัยสำคัญการตรวจสอบสถานะคู่สัญญาไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นมาตรฐานการปฏิบัติงานที่จำเป็นสำหรับทุกธุรกรรม เพื่อปกป้องสินทรัพย์และอนาคตขององค์กร การลงทุนเวลาในขั้นตอนนี้ คือการสร้างรากฐานที่มั่นคงและลดความเสี่ยงของข้อพิพาทในระยะยาวได้อย่างยั่งยืน
แสดงความคิดเห็น